เพชรสีแดงเป็นหนึ่งในอัญมณีที่หายากที่สุดในโลก ด้วยอัตราการเกิดเพียงประมาณ 0.000001% ของเพชรทั้งหมด การเกิดขึ้นของเพชรสีแดงไม่เพียงต้องอาศัยโครงสร้างผลึกที่เหมาะสม แต่ยังขึ้นอยู่กับ เงื่อนไขทางธรณีวิทยาและประวัติแรงบีบอัดของโลก ในอดีตกว่าพันล้านปี ทำให้เพชรสีแดงแทบไม่ปรากฏในเหมืองใหม่ ๆ ในยุคปัจจุบัน
บทความนี้จะอธิบายถึงเหตุผลเชิงธรณีวิทยาที่ทำให้เพชรสีแดงมีความหายากสูง ตั้งแต่กระบวนการเกิดในแมนเทิล การบีบอัดของแผ่นทวีป การขึ้นสู่ผิวโลกผ่านคิมเบอร์ไลต์ ไปจนถึงความหายากของเหมืองใหม่ในปัจจุบัน
เพชรสีแดงแตกต่างจากเพชรสีอื่น ๆ เช่น สีเหลืองหรือสีน้ำเงิน เพราะสีแดงเกิดจาก Plastic Deformation หรือการบิดเบี้ยวของโครงสร้างผลึกคาร์บอนในระดับอะตอม
แรงดันสูงใต้แมนเทิลชั้นบน (upper mantle) ทำให้พันธะ C–C ในผลึกเพชรถูกบิดและยืดออกไม่สม่ำเสมอ
การบิดเบี้ยวนี้ทำให้ผลึกดูดกลืนแสงบางช่วง โดยเฉพาะย่านสีเขียว-น้ำเงิน
สิ่งที่สะท้อนกลับจึงเป็น สีแดงแท้จากโครงสร้างผลึก
เพราะสีแดงเกิดจากความผิดรูปเชิงโครงสร้าง การสร้างเงื่อนไขเหล่านี้จึงจำเป็นต้องมีแรงบีบอัดและแรงเฉือนที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น ไม่ใช่กระบวนการที่เกิดซ้ำได้ง่ายในยุคปัจจุบัน
การเกิดเพชรสีแดงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ ประวัติการชนและบีบอัดของแผ่นทวีป ดังนี้:
เหมืองเพชรแดงเก่า เช่น Argyle ในออสเตรเลีย อยู่บน Precambrian Craton ซึ่งเป็นชั้นแผ่นเปลือกโลกเก่าแก่กว่า 1 พันล้านปี การชนของแผ่นทวีปและแรงบีบอัดสะสมหลายรอบ ทำให้เกิด:
Slip Planes {111} และ {110} ที่เหมาะสมต่อการสร้าง Plastic Deformation
ลายเส้นความเครียด (Stress Lines) ต่อเนื่อง
การบิดเบี้ยวในระดับอะตอมที่สร้างสีแดง
การเกิดสีแดงต้องอาศัย แรงบีบอัดที่รุนแรงพอดี หากแรงน้อยเกินไปจะไม่เกิดสี หากแรงมากเกินไปเพชรจะแตกหรือสูญเสียความใส
นั่นหมายความว่า เพชรสีแดงสามารถเกิดได้เฉพาะในพื้นที่เก่าที่ผ่านแรงบีบอัดซ้ำหลายครั้ง
เหมืองใหม่ส่วนใหญ่เกิดบนโครงสร้างธรณีวิทยาที่อายุน้อยกว่าและยังไม่ได้ผ่านแรงเฉือนสูงต่อเนื่อง
ดังนั้นโอกาสเกิดเพชรสีแดงในเหมืองใหม่จึงต่ำมาก
เพชรเกิดลึกในแมนเทิล แต่ต้องขึ้นสู่ผิวโลกผ่าน Kimberlite Pipes เพื่อให้ถูกค้นพบ
เพชรสีแดงต้องขึ้นมาด้วยแรงดันสูงและความเร็วที่เหมาะสม
หากแม็กมาเคลื่อนช้าเกินไป โครงสร้างผลึกอาจปรับตัวและสูญเสียสีแดง
หากเร็วเกินไป เพชรอาจแตกหักหรือเกิดรอยร้าว
เหมืองใหม่ในปัจจุบันมักอยู่บนพื้นที่ที่มีแม็กมาใหม่หรือไม่มีประวัติแรงบีบอัดสูง
ทำให้เพชรที่ขึ้นมาส่วนใหญ่มีสีปกติ (ขาวใส หรือแฟนซีคัลเลอร์ที่เกิดจากธาตุเจือปน เช่น สีเหลืองหรือสีน้ำเงิน)
โอกาสเกิด เพชรสีแดงแทบเป็นศูนย์
นักธรณีวิทยาพบว่า:
เพชรสีแดงแทบทั้งหมดเกิดใน หินเก่ากว่า 1–2 พันล้านปี
การบิดเบี้ยวของโครงสร้างต้องสะสมหลายรอบจึงเกิดสีแดง
เหมืองใหม่มักเกิดในหินอายุน้อย ไม่ถึงพันล้านปี
โครงสร้างผลึกยังไม่ผ่านการบีบอัดสะสมมากพอ → ไม่มีสีแดงเกิดขึ้น
สรุป: อายุของหินเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการเกิดเพชรสีแดง
การเกิดเพชรสีแดงต้องอาศัยแรงเฉือนในแนวเฉียงสูง
พื้นที่ใหม่ที่ยังไม่มีประวัติการชนของแผ่นทวีปจึงไม่มีแรงเฉือนสูงพอ
เงื่อนไขความร้อนและแรงดันต้องแม่นยำ
เหมืองใหม่มักเกิดในบริเวณที่เงื่อนไขไม่เสถียร → การบิดเบี้ยวไม่เกิดหรือสูญหาย
เพชรสีแดงต้องขึ้นสู่ผิวโลกก่อนที่จะถูกกัดเซาะ
ในพื้นที่ใหม่ การขนย้ายอาจทำให้ผลึกเสียหายหรือสีแดงจางลง
จากการวิเคราะห์พบว่า เพชรสีแดงแทบไม่ปรากฏในเหมืองใหม่ยุคปัจจุบัน เพราะ:
ต้องเกิดใน พื้นที่เก่าที่มี Precambrian Craton และประวัติการชนแผ่นทวีปหลายรอบ
ต้องผ่าน แรงเฉือนที่รุนแรงและต่อเนื่องหลายล้านปี
ต้องขึ้นสู่ผิวโลกผ่าน Kimberlite Pipes ด้วยแรงดันและความเร็วที่เหมาะสม
เหมืองใหม่ส่วนใหญ่เกิดในหินอายุน้อย ไม่มีประวัติแรงเฉือนสะสม → ไม่เกิดสีแดง
การกัดเซาะหรือกระบวนการสะสมเพชรในเหมืองใหม่อาจทำให้โครงสร้างเสียหาย → สีแดงไม่เกิดหรือจาง
กล่าวโดยสรุป เพชรสีแดงไม่ใช่เพียงผลึกคาร์บอนที่หายาก แต่เป็นหลักฐานทางธรณีฟิสิกส์ของเหตุการณ์แรงเฉือนและการบีบอัดที่เกิดขึ้นในอดีตกว่าพันล้านปี
การเข้าใจเหตุผลเชิงธรณีวิทยานี้ช่วยให้เราเห็นว่าเพชรสีแดงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ และเหตุใดเหมืองใหม่จึงแทบไม่ผลิตเพชรสีแดงเลย
เพชรสีแดง